DhammaTalks.net

 

ภาวนาพุทโธน้ำตาไม่ไหล

 

พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย วัน ๘ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เป็นวันกรณีพิเศษที่สำคัญสำหรับพุทธบริษัททั้งหลาย ถึงแม้ว่าพวกเราจะมาวัดก็ตาม หรือไม่มาวัดก็ตาม วันนี้ให้ถือเป็น "วันพิเศษ" ให้รักษากาย วาจา ใจ ของเราให้เป็นปกติ ต่างจากวันธรรมดา เพราะว่า เป็นวันที่เราได้อบรมธรรมะ อบรมภายในวัดก็ดี นอกวัดก็ดี วันนี้ให้เป็นวันพิเศษ

สถานที่วัดนี้ยังไม่สะดวกเท่าไรหรอก เพราะมาอยู่ใหม่ยังไม่เรียบร้อย จะมาทำให้เป็นกิจลักษณะ ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ยังไม่สะดวกเท่าไร มาพักกันชั่วคราว วัดหนองป่าพงเป็นวัดที่ไกลจากบ้าน ให้พวกเราพากันไปวัดหนองป่าพงให้มากๆ เมื่อถึงวันพระที่นี่เป็นสถานที่คับแคบ (วัดก่อนอก) เป็นเพียงสถานที่รับแขกที่มาจากทางไกลเท่านั้น แขกทางไกลก็มา พักชั่วคราว มากราบเยี่ยมแล้วเขาก็ไป สถานที่ฟังเทศน์ สถานที่แสดงธรรม คือ"วัดหนองป่าพง" เป็นสถานที่เงียบ ไกลจากชุมชน ไกลจากสิ่งที่รบกวน เป็นสถานที่สมควรฟังธรรม และทำสมาธิภาวนา

วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ (วัดก่อนอก) ก่อตั้งขึ้นพร้อมหมู่บ้าน (ก่อนอก) บ้านนี้เป็นบ้านใหญ่พอสมควร แยกกันออกเป็นสองสามหมู่บ้าน วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สุด แต่ไม่มีพระอยู่ พระหนีไปหมด ไม่มีผู้รักษา ขาดผู้อบรม ขาดผู้อุปถัมภ์ สิ่งทั้งหลายถ้าขาดการรักษาก็เป็นเหมือนวัดนี้แหละ ศาลาก็ไม่มี กุฏิก็ไม่มี รั้วก็ไม่มี อะไรทุกอย่างก็ทรุดโทรมไปหมด เพราะว่าไม่มีคนรักษาฉันใด ตัวพวกเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท มีอุบาสก อุบาสิกาภิกษุ สามเณร ที่นับเนื่องอยู่ในพุทธบริษัทนี้ ถ้าหากว่าขาดการอุปถัมภ์รักษาตัวเอง มันก็เหมือนกับวัดนี้ นับวันแต่จะน้อยเข้าไปพังเข้าไป กุฏิวิหารทรุดโทรมไป ผลที่สุดก็เหลือแต่แผ่นดิน

พวกเราชาวพุทธทั้งหลายก็เหมือนกัน จะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือญาติโยมก็ตาม ชาวพุทธไม่ปฏิบัติตามชาวพุทธ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนกันกับมีวัดไม่มีพระอยู่อาศัย ไม่มีญาติโยมอุปถัมภ์ค้ำชู มันก็เหลือแต่วัตถุ เหลือแต่แผ่นดิน เป็นวัดที่ไม่สมบูรณ์ เป็นวัดที่ทรุดโทรม บุคคลหญิงชายทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าพวกเราไม่มี "ศีลธรรม" คนนั้นก็หมดความเป็นคน มันเหลือแต่หนัง เหลือแต่กระดูก เหลือแต่เนื้อ ตัวคนไม่มีคุณงามความดีในใจของเราไม่มี ฉะนั้นคนปราศจากคุณงามความดี คือไม่รู้จักความดีนั่นแหละ มาหาพระก็มาหาแต่ของดีไม่รู้ว่า "ของดี" อยู่ไหน? ไม่มีของดีหรอก ต้องรักษาเอามันถึงจะดี เราไม่ได้ทำความดี ถึงจะขอของดีมันก็ไม่ได้ดี

พระพุทธองค์ท่านสอนว่า "ความดีของเราก็คือ กาย วาจาใจ รักษามัน แต่งปรับปรุงมัน ปฏิบัติให้มันดีงามขึ้น มันก็ดีอยู่ในที่นั้น ไม่ใช่ของดีจะไปขอเอากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ให้ของดีเราไม่ได้ นอกจากท่านสอนให้ทำ ให้ทำเอา ให้ละอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็ไปปฏิบัติเอา มันก็ได้ มันก็ดีขึ้นมา ไม่ใช่ว่าของดีอยู่กับพระพุทธเจ้า ของดีที่อยู่กับพระพุทธเจ้าก็เป็นของดีที่อยู่กับพระองค์ จะไปขอเอากับท่านไม่ได้... เราจะต้องปฏิบัติเอา ผลที่สุดแล้วความดีก็จะอยู่กับเรา แต่ถ้าเราไม่สร้างความดีที่ถูกต้องขึ้น มันก็ดีขึ้นไม่ได้ ไม่ปรากฏขึ้นได้ ความดีมีอยู่ทั่วไปในสกลกายของเรา สร้างขึ้น ปฏิบัติขึ้น พวกเราจึงได้มาปฏิบัติเป็นกลุ่มขึ้นเพื่อฟังธรรม เพื่อจะได้รู้จักว่าของดีเป็นอย่างไร ของดีอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรจึงจะได้ เพื่อเราจะได้รู้จักอย่างแน่นอน ถ้ารู้จักแน่นอนแล้วของดีก็อยู่กับตัวเรา

พระพุทธองค์ท่านสอนว่า "พระตถาคตเป็นแต่ผู้บอก" ท่านเอาของดีให้เราไม่ได้ ท่านบอกอันนั้นควรละ อันนั้นควรประพฤติปฏิบัติ อันนั้นผิด อันนั้นถูก ท่านบอกให้เท่านี้ ไม่ใช่ว่าท่านจะเอาของดีให้เรา เอาความชั่วหนีออกจากเราได้ เราต้องทำเอาเอง ความดีสร้างเอาเอง ความชั่วถ้ามีขึ้นก็ละเอาเอง

ฉะนั้น ท่านให้เรามาฟังธรรม แล้วให้ภาวนา "ภาวนา" ก็คือพิจารณาดูนั่นแหละ ทำไร่ทำนาก็เหมือนกัน ถ้าขาดการภาวนา ก็ไม่เป็น คือมันไม่ดี ภาวนาคือการคิดให้มันถูกต้อง คิดให้มันดีงาม เรียกในทางธรรมะว่า การ "ภาวนา" เอาพุทโธให้ภาวนา "พุทโธ"แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าใครภาวนาพุทโธแล้ว ไม่มีน้ำตาไหล ใจไม่ขุ่นมัว ใจปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นใจที่สงบระงับ ถ้าเรารู้เรื่องของมันก็เป็นอย่างนี้ ความทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราไม่ค่อยได้พิจารณาอย่างนี้

วันหนึ่ง มีโยมมาจากอำเภออำนาจเจริญ มาหาอาตมา แกทุกข์มาก วุ่นวายมาก แกบอกว่าแกทุกข์มาก เป็นเรื่องใหญ่มากอาตมาถามว่าเรื่องอะไรที่โยมว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก แกบอกว่าเมียแกตาย หือ? นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร เรื่อง "ตาย" มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ถ้าเรื่องใหญ่ก็คือเรื่อง "เกิด" ขึ้นมานั้นแหละ มันเป็นเรื่องใหญ่กว่า ตาย มันเรื่องเล็กหรอก ตายมันมาจากไหน ตายมันมาจากเกิด จะมาเสียใจกับมันทำไม เวลามันเกิดทำไมไม่เสียใจ ทำไมจะมาเสียใจเวลาที่มันตาย อาตมาตกใจหมดนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร นี้แหละเลยเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตไป ความจริงท่านให้พิจารณา "ความเกิด" พิจารณา"ความแก่" พิจารณา "ความเจ็บ" พิจารณา "ความตาย" พระพุทธองค์ท่านให้พวกเราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ แต่เราเกิดขึ้นมาไม่ได้พิจารณา มัวแต่เพลิดเพลินกันอยู่ คนเราถ้ามันเพลิดเพลินแล้วมันเป็นบ้ามันจึงเพลิดเพลิน ถ้าไม่เป็นบ้ามันไม่เพลิดเพลินหรอก

ถ้าว่าไม่จริง ลองเอาสุรามาดื่มดูซิ เป็นบ้าเลย เพลิดเพลินกันไปเลยแหละ ร้องรำทำเพลงกันขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ถ้าให้อยู่สบายสงบ เป็นคนไม่บ้า มันไม่เพลิดเพลินหรอก อยู่อย่างสงบสบายถ้าคนสนุกสนานเพลิดเพลินแล้วคือคนบ้า เอาสุรามาดื่มลองดูซิ ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อตา ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกเขย เล่นหัวกันไปเลย ถ้าคนเพลิดเพลินร้องรำทำเพลงคือคนบ้า คนเรามันชอบเพลิดเพลิน ไปเอากัญชามาสูบให้ตัวเองเป็นบ้า เอาสุรามาดื่มให้ตัวเองเป็นบ้า เอาภาพยนตร์มาฉายให้สนุกสนาน ถ้าคนเป็นบ้ามันเพลิดเพลิน ถ้าคนไม่บ้าแล้วเป็นคนสงบ ดูภาพยนตร์ก็คือดูรูปภาพนั่นแหละ เมื่อคืนนี้ถึงขนาดพระไม่ได้ตีระฆัง พระมาบอกอาตมาว่า หลวงพ่อวันนี้ไม่ต้องตีระฆัง เพราะในบ้านเขามีภาพยนตร์ คิดว่าเขาคงไม่มาวัดกัน อาตมาเลยบอกว่า เออ!...หยุดซะ ก็ดี ให้เขาไปดูหนังกัน คนเรามันชอบเป็นบ้ามากกว่าเป็นคนดี ชอบความหลงงมงายมากกว่าความจริง ทำไมมันจึงจะไม่มีทุกข์ อาตมาเลยบอกพระว่า เออ!...วันหลังค่อยตีเถอะ วันที่หนังเขาไม่ฉายค่อยตีวันนี้เขาเป็นบ้ากัน ให้เขาไปตามบ้าเขาซะก่อน วันไหนเขาไม่เอาหนังมาฉายคนดีๆเขาจะมาวัด เมื่อคืนนี้พระเลยไม่ได้ตีระฆัง พระท่านก็ยอมหนังเขาเหมือนกัน ถ้าจะมาเทศน์อยู่นี่ หนังก็ฉายอยู่โน้น ต้องแพ้ภาพยนตร์เขา เลยเลิกซะดีกว่า นี่ก็เลยไปไม่ไหวเพราะความเห็นเป็นอย่างนั้น ภาพยนตร์มันเป็นเรื่องทำให้จิตใจหลงงมงาย ลูกหลานเราชอบมากถ้าไปอย่างนั้น ไม่ว่าแต่ลูกหรอกแม่มันก็เหมือนกันนั่นแหละ พ่อมันก็เหมือนกันนั้นแหละ ชอบมากของอย่างนั้น ชอบของต่ำช้า มันมีแต่เรื่องยั่วยวนหัวใจเราหมดทุกอย่าง เป็นอย่างนี้ชอบอย่างนี้ ลองเอาพระมาเทศน์ลองดู กับเอาไก่มาชนกันลองดู ต้องไปดูไก่ชนกันหมดทุกคน คนเรามันชอบอย่างนั้นทุกวันนี้ เอามวยมาชกกันดู ต้องไปดูเขาชกมวยกันหมด มันเลวร้ายขนาดนี้แหละคนเรา

อันนี้ท่านสอนแต่สิ่งดีๆ มันไม่ฟังหรอก มันไม่รู้จักดี ภัยมาถึงจึงค่อยคิดถึง "ความดี" เช่น ความเจ็บไข้มาถึง จึงคิดถึงความดี ความตายมาถึงจึงคิดหาความดี ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงให้พิจารณา "มรณานุสติ" คือความตายทุกๆวัน ให้จิตใจมันอ่อนโยน พิจารณาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันดีไปทางธรรมะ มันไม่ได้ดีไปทางโลก ดีทางที่ไม่เบียดเบียน เยือกเย็นหัวใจ ศีลธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีความรู้สึกอย่างนั้นเสียก่อน ท่านให้ภาวนา

การภาวนานี้ก็ไม่ค่อยรู้จักกัน เอาสั้นๆให้ภาวนา "พุทโธ" ยิ่งหลงไปใหญ่ ยิ่งไม่รู้จัก เอาพุทโธให้ ยิ่งไม่รู้จักความหมาย ปลาเต้นออกข้องจึงร้อง "พุทโธ" อย่างนี้รู้จัก ความตายก็คิดเห็นแต่เวลาหกล้ม เวลาชนสะดุดร้อง "โอ๊ยตาย" ก็แล้วไป ลุกขึ้นมาได้ก็ไม่ตาย ไปเหยียบงู ตกใจร้อง "โอ๊ยตาย" แต่ถ้าไม่ได้เหยียบงูก็ไม่ตาย เท่านี้ เห็นความตายแว๊บเดียว เหมือนฟ้าแลบเท่านั้น

พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาความไม่เที่ยงเรื่อยๆมา ฉะนั้นคนจึงเห็นความพลัดพรากจากกัน ความแก่ ความตาย เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เห็นเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ความเป็นจริงมันเป็นเรื่องไม่ใหญ่ มันเป็นเรื่องธรรมดา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราเกิดมาตายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่ นี้เป็นเรื่องธรรมดาถ้าเราพิจารณาเห็นชัดแล้ว ใจของเราจะมั่นคง ใจเราจะไม่สร้างบาป ไม่อยากสร้างกรรมชั่วทั้งหลาย ใจมั่นคงมีศีลธรรม การภาวนาท่านจึงให้ภาวนาพุทโธ พุทโธ ให้ใจน้อมนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ให้ใจเราตื่นให้ใจเราเบิกบาน ให้ใจเราสงบ

เรามาอยู่ในโลกนี้ ต่างคนก็ต่างมา มาอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่ามาอยู่ทำไม ไม่รู้จักเวลา จะไปกับอะไรก็ไม่รู้จัก อยู่ก็ไม่รู้ว่าอยู่กับอะไรไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องของตัวเอง เมื่อเกิดขึ้นมา อยู่ไปตามเรื่องมันเหมือนกับไก่...พอถึงตอนเช้าพาลูกไปหากิน พอเย็นมาก็พาลูกเข้านอน เท่านี้แหละไม่มีความหมายอะไร

มนุษย์เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องอย่างนี้ก็เหมือนกันกับไก่ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย ศีลธรรมนี้คนจึงรู้ยาก เห็นยาก มันไม่เห็นง่ายๆ อย่างวัดก่อนอกเรานั้นแหละ ตั้งวัดมานานถึง ๙๖ ปีแล้ว ไม่เห็นใครภาวนาเป็นสักที พระเข้ามาก็มาเทศน์แต่ "มัทรี" ให้โยมฟัง เลยไม่รู้จัก "บาป" ไม่รู้จัก "บุญ" ไม่รู้จักคุณไม่รู้จักโทษ พุทธศาสนาไม่มีในที่นี้ ไม่มีอะไร สร้างแต่สิ่งล่อลวง สร้างแต่สิ่งหลงงมงายอยู่ในโลกนี้ จิตใจไม่สว่างสักที ทำก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ไม่ทำไปตามความจริง เมื่อวานนี้ โยมมาจากอำเภอเขื่องใน... มาหนึ่งคันรถ มาขอของดี มาขอน้ำมนต์ ขอชานหมากแห้ง พอกราบเสร็จก็ขอเลย พวกเขาไม่รู้จักของดี อาตมาถามว่า...ได้ภาวนาไหม? พวกเขาตอบว่า ไม่ได้ภาวนา ได้แต่เมตตาเท่านั้นแหละ ท่องเมตตา อาตมาเลยถามต่อไปว่า... เลิกหักขากบหรือยัง? พวกเขาตอบว่ายัง ถ้าไม่เลิกหักก็จะไม่ได้กิน นี่ดูซิ ได้แต่เมตตาสัตว์ เมตตาหมายความว่ายังไงยังไม่รู้จัก อาตมาเลยถามต่อไปว่าจะไม่เลิกเลยหรือโยม จะทำไปจนกว่าจะตายโน้นหรือ? พวกเขาตอบว่าเอาจนตายโน้นแหละเลิกก็ไม่ได้กินเท่านั้นแหละ นี่พวกเขาตอบ เลิก...ไม่ต้องพูดกันแล้วทีนี้ ไม่มีอะไรจะพูดให้กันฟังอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้

นี้คือมันไม่สลดใจสักหน่อย ไม่มีใครลืมตาขึ้นพิจารณา แล้วก็เป็นเรื่องจำเป็นมาก วัดอาจารย์สุเมโธ...วัดกรุงลอนดอน เดินไปไม่เท่าไรมีแต่กระต่าย เป็นกระต่ายป่า ไม่มีใครจะไปทำลายเบียดเบียนมัน มีแต่เขาจะสงวนเอาไว้ เอาตาข่ายมาล้อมกระต่ายไว้ ถ้าเป็นบ้านเรา คิดว่าคงไม่เหลือ มันไกลกันมาก เรากับเขา จึงไม่มีอะไรจะพูดด้วย เขาสงสารจริงๆ แต่เขาไม่ได้ท่องเมตตาเหมือนเรา "อะหังสุขิโตโหมิ นิทุกโคโหมิ สัพเพสัตตา" เขาไม่ได้ท่อง แต่ว่าเขาเห็นสัตว์เขาสงสารมาก แล้วใครจะดีกว่ากันทีนี้ ระหว่างเรากับเขา... คนหนึ่งท่องเมตตาได้ แต่ไม่เลิกฆ่าสัตว์สักที แต่คนหนึ่งไม่ได้ท่องเมตตา แต่เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ เขาสงสารมันนี่ลองๆดู อะไรมีความหมายกว่ากัน อย่างนี้น่าจะพิจารณา เรามา ฝึกตั้งแต่เล็กๆ เอาหนังสะติ๊กมายิงให้ตายไม่ให้เหลือ แต่ทางเขาบุ้ง ไส้เดือน ขนาดเล็กๆ ของเขาก็ไม่ทำมัน สงสารมัน มันไกลกันมากจริงๆ เขาไม่มีหลักพุทธศาสนา แต่จิตใจเขาเป็น ทางเราเรียนได้ ๙ ประโยค แปลได้ตรงเป๋ง สวดก็ได้ สวดเมตตาสัตว์ก็ได้ แต่สัตว์เข้ามาใกล้...ฆ่าทั้งพ่อทั้งแม่มันไม่ให้เหลือ อันนี้ความหมายมันต่างกันมาก

"ศีลธรรม" คือความจริง พูดเฉยๆไม่เกิดประโยชน์นะกายวาจา ใจ มันไม่เป็น ถ้าจิตมันเป็น มันเป็นของมัน ศีลธรรมเกิดขึ้นมาได้ ยังไกล ดูไปยิ่งไกลมาก พวกเรา...ไกลจากพุทธศาสนานอกจากจะพูดกันจ้ำจี้จ้ำไชอย่างวัดหนองป่าพง พอเป็นไปได้สักหน่อย พูดก็น่าฟังสักหน่อย ถ้าออกจากกลุ่มนี้ไปแล้ว ลองๆดูก็ได้ แสดงว่าพวกเราไกลมาก มีประชาชนมาถามอาตมาว่า "หลวงพ่อ ประชาชนมันจะเป็นคอมมิวนิสต์ไหม?" อาตมาตอบว่า"ถ้าคนเราไม่เป็น มันก็ไม่เป็น ถ้าเราเป็นมันก็เป็นเท่านั้นแหละ จะไปถามใคร" เราไม่เบียดเบียนกันดูซิ รู้จักรักษากัน ใครจะมาเป็นอยู่ที่นี่ แต่นี่ผู้น้อยกินผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่กินผู้น้อย มันก็ไม่อยู่แหละเพราะมันเป็นอยู่แล้ว โยมเขาพูดว่า สาธุ...อย่าให้เป็นเลย กระผมคิดว่าคงไม่เป็นหรอก หลักพุทธศาสนาตั้งมั่นอยู่ตั้งเหมือนกระติบข้าว...ไม่ได้กินจะอิ่มได้หรือ? มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

"ศาสนา" ก็คือ ปฏิบัติความจริง มันถึงจะถูก ถ้ายังงั้นหนังสือที่เขาเขียนใส่ตู้ไว้มันเป็น "ศาสนา" เท่านั้นแหละ เพราะของดีอยู่ที่นั่น มีแต่หนูไปกัดทำลายหมดเท่านั้นแหละ ศาสนาอย่างนั้นมันไม่เป็นศาสนาหรอก จะให้เป็นศาสนาต้องปฏิบัติ ศาสนามันจึงเป็น มีแต่ไหว้ไม่ให้มันบาป แต่ไม่เลิกทำบาป ไหว้แต่ไม่เลิกทำบาป ไหว้แต่ไม่ให้ผิด แต่ไม่หยุดทำผิด อันนี้มันเป็นคน ไม่มีปัญญา

อาตมาไปเมืองนอก ถูกเขาถามว่า เมืองไทยมีพุทธศาสนาแต่ทำไมขโมยเยอะ คือเขาเคยมาเที่ยว...ถูกพวกมิจฉาชีพฉกชิงวิ่งราวเขา พออาตมาไปเขาถามอาตมา อาตมาตอบเขาว่า จริง "แต่ว่าพุทธศาสนาไม่ได้ขโมย คนมันขโมย คุณจะมาโทษพุทธศาสนาไม่ได้หรอก ต้องโทษคน" อาตมาเคยถามเขาไปว่า กฎหมายเมืองนี้มีไหม? เขาตอบว่ามี อาตมาถามเขาต่อไปว่า คนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายมีไหม? เขาตอบว่ามี อ้าว!...ก็มีกฎหมายทำไมเป็นอย่างนั้น

มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ถ้าวัดกันส่วนต่อส่วนแล้ว พวกเรายังไกลมาก ถ้าพูดถึงเข้าวัดก็เข้ามาอยู่ แต่ถ้าพูดธรรมะให้ฟังบางทีโกรธเราให้ก็มี...ผู้เฒ่า บางทีอาตมาถาม ผู้เฒ่าเข้าวัดเลิกกินเหล้าเลิกฆ่าสัตว์หรือยัง? เขาบอกว่า ยังไม่เลิก ถึงเวลากินก็กินอยู่ ถ้าเราพูดมากบางทีอาจจะด่าพระก็ได้ นี่มันเป็นเรื่องอย่างนี้

ฉะนั้น กุลบุตรลูกหลานเราจะรู้เรื่องอะไร ไม่รู้อะไร มันอยู่กับพ่อแม่ มันก็ทำตามพ่อแม่มา เลยกลายเป็นประเพณีทุกวันนี้บวชสมัยก่อนต้องตั้งใจมาครึ่งหนึ่ง ขาเตียงเขามี ๔ ขา บวชเข้ามาอย่างน้อยต้องได้ ๔ พรรษา...ครบขาเตียง อันนี้สมัยก่อนเราบวชอย่างนี้ ถ้าได้ถึง ๕ พรรษา เป็นภิกษุเก่าเลย สมัยก่อนบวชก็ไม่ยากอะไร แต่เดี๋ยวนี้การบวชบางทีต้องเอาที่นาไปจำนองเขาเพื่อเอาเงินมาบวชลูกชาย กินสุรากัน ๗ วัน ๗ คืน บวช ๑๕ วัน ๗ วัน บวชเข้ามาแล้ว เขามาอยู่ในวัดก็สั่งสอนยากว่ายากยิ่งกว่าเสือ ให้กินข้าวครั้งเดียวก็ยาก ให้กราบให้ไหว้ก็ยากขนาดเอาเสือเข้ามาในวัดเลยทีเดียว ไม่ยอมประพฤติตาม เอาแต่ทิฏฐิมานะของตัวเอง มันจะเห็นศาสนาได้อย่างไร มันห่างไกลมากมันไม่ถึง

คนทุกวันนี้ความรู้มันมีมาก แต่ความดีมันไม่มี มันมีแต่ความรู้เฉยๆ ถ้ามีแต่ความรู้ ความดีไม่มี มันไปยาก อย่างตาสีตาสา ตามาตามี ไม่เคยทำลายบ้านเมืองหรอก เขาก็มีแต่ทำไร่ทำนากินไปตามประสาของเขา ถ้าคนมีความรู้ ไม่มีความดี ฉิบหายหมด ไม่เหลือ พี่ ป้า น้า อา เดือดร้อน มาปกครองบ้านเมืองกินหมด นั้นคือคนมีความรู้ แต่ความดีไม่มี ก็เกิดความเดือดร้อน

พระพุทธเจ้าของเราท่านว่า "ความรู้ก็ให้มี ปฏิบัติศาสนาในบ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข" มันเป็นลักษณะนี้ ทุกวันนี้ศีลธรรมมันขาด ห่างไกลมากจากศีลธรรม ไม่ว่าแต่โยม พระเราอย่างอาตมาจำเป็นต้องออกปฏิบัติทำไม เพราะมันอยู่ยาก ขนาดปฏิบัติไม่ได้เอาเงินเก็บในย่ามยังผิดหมู่พวกแล้ว อยู่ทางเหนือ...ลูกศิษย์อาตมาไปอยู่ที่นั่น เขาเดินขบวนไม่ให้อยู่ เพราะพระฉันข้าวมื้อเดียว และไม่รับเงินทองด้วย พวกเขาพระกินข้าวเย็น เขากลัวศาสนาเขาจะเสื่อม ไล่พระปฏิบัติหนี นี่มันเป็นไปทำนองนี้กันมากเสียหายกันมากทุกวันนี้ ไม่ต้องอะไรหรอก ในทางพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติตรงไปตรงมาตามพระวินัยแล้วต้องกั้นทางเลย นี่เราพากันหลงมาก เสียหายมาก

ทุกวันนี้ยากลำบาก คนดีๆต้องหาที่อยู่ให้ถูกจึงทำได้ ว่าจะทำดีๆ ต้องเลือกที่อีก เพราะมันขวางหลักทางโลกเขา ฉะนั้นจึงให้ค่อยพิจารณาพวกเรา ถ้าทำไม่ดี จะว่าดีขนาดไหนมันก็ไม่ดีไปได้จึงให้เราเข้าใจว่าศีลธรรมมันขาดจากบ้านเมืองทั้งหลาย ลูกสาวลูกชายเป็นอย่างไร สอนง่ายไหมทุกวันนี้? คงจะมีแต่พ่อกับแม่เลี้ยงควายอีตู้ทุกวันนี้ แต่ก่อนบ้านก่อเราคนโง่หรอก จะไปนุ่งเสื้อผ้าลายๆอย่างนั้นไม่ได้ อายกัน คนเฒ่าคนแก่ไม่เคยนุ่งหรอกอาย จะไปนุ่งผ้าของเจ๊กของจีน...ไม่อยากนุ่ง ต้องนุ่งผ้าแม่บ้านทอเอง ผ้าขาวเอามาย้อมสีครามตามที่เคยทำมา ตัดเสื้อผ้าให้ลูกสาว ลูกชาย ให้พ่อบ้านนุ่งห่ม ถ้าไปเห็นนุ่งเสื้อขาวๆ ลายๆของเจ๊กแล้ว แม่บ้านอาย...ทำไมถึงอาย เพราะไม่คุ้มลูกคุ้มผัว(เป็นแม่บ้านที่ใช้การไม่ได้) อายมากแต่ก่อน

ฉะนั้น การบ้านการเมืองต้องช่วยกัน เพื่อให้จิตของเราสูงขึ้นๆ มันเป็นอย่างนี้ มันทิ้งจากของเดิมไป การประพฤติปฏิบัติก็จะหมดไปเรื่อยๆ (การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน) เห็นไหมทุกวันนี้ หมูไทย หมูหน้าเล็กๆ ตัวน้อยๆ มันไปไหนหมด นี่เห็นไหม เห็นแต่หมูพันธุ์อื่น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ วัวก็นับวันแต่จะกลายเป็นพันธุ์อื่นไป ไม่แน่...บางทีคนอาจจะกลายเป็นอื่นก็ได้ มีทั้งเจ๊ก จีน ไทย ลาว ไม่รู้ว่าไปทางไหน มันเปลี่ยนไปหมด พวกฝรั่งเข้ามาแต่ละครั้งหลายหมื่นเอาทิ้งไว้ (เด็กลูกครึ่ง) แผ่ขยายกันไปกระจัดกระจาย ความเห็นต่างๆก็ค่อยเปลี่ยนไปๆ เราทั้งหลายชอบตื่นเต้น เห็นอะไรก็ตื่นเต้น เช่นหยูกยาเป็นตัวอย่างอาตมาไปเมืองนอก อยากฉันยาประจำบ้าน เขาไม่มี ถ้าไม่สบายเขาไปที่โรงพยาบาลให้แพทย์ตรวจ หมอเขียนใบสั่งยาให้ เขาจึงซื้อมากิน แต่แถวบ้านเรามีเงินในกระเป๋าซื้อกินเอง ยาทัมใจ ยาบวดหาย ถ้าปวดเมื่อยซื้อกินเลย เก่ง...คนไทยเราตายไม่เหลือแต่พวกฝรั่ง ... ยาเขาไม่ซื้อกินเอง เขากลัว ยาเป็นของมีพิษ ไม่ใช่ว่าดีอย่างเดียว บางคนอยากอ้วนกินจนตัวฉุ ทุกวันนี้จึงเป็นเหตุให้เกิดอันตราย เพราะไม่รู้เรื่องอะไร เจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ กินยาเลยแก้ปวดสักห่อก็หาย กินไปนานๆ ห่อหนึ่งไม่หาย เอาสองห่อดีขึ้นสักหน่อย พอแก้ได้ อีกหลายปีต่อๆมา ๒ ห่อไม่ไหวแล้ว ต้องเอา ๓ ห่อถึงจะดีขึ้นหน่อย อีกหลายๆปีต่อมา ไม่ไหว...เอา ๔ห่อเลย แล้วก็เอาวันละ ๕, ๖ ห่อ...เลยเถิดเลยทีนี้ มันก็เลยเกิดอันตรายแก่ร่างกาย

ฉะนั้น เรื่องศีลธรรมพวกเรานี้ห่างไกลมาก คุยเรื่องศีลธรรมนี้เก่ง พอคุยไปคุยมากลับพูดว่า "ดีอยู่ แต่ผมทำไม่ได้"พูดไปทำนองนี้ ถ้าไปสอนก็พูดว่า "ผมรู้อยู่ แต่ผมยังไม่เอา" ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเอา ให้พวกเราไปพิจารณาดู

วันนี้ก็ต่างจากวานนี้ พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ต่างจากวันนี้ วันนี้เป็นคนอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้เป็นคนอีกอย่างหนึ่ง วันต่อไปก็เป็นคนอีกอย่างหนึ่ง คือมันแก่ไปๆ ไม่ใช่คนๆเก่านะ เมื่อวานนี้เป็นคนเก่าพอข้ามวันมาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ถ้าไม่เป็นคนใหม่มันจะแก่ได้หรือมันก็เหมือนเดิมซิ... ถ้าเป็นคนเก่า อันนี้มันเป็น เราไม่ได้พิจารณาดูการเปลี่ยนแปลงของมัน มันผ่านมาเรื่อยๆ วัน เดือน ปี เก็บเราไปเรื่อยๆ ความเจ็บ ความแก่ มันเปลี่ยนมาทุกระบบ เราไม่รู้อะไร แต่เราไม่ค่อยรู้จัก พระพุทธองค์ท่านสอนว่าให้พิจารณา "วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่" ท่านให้หมั่นเตือนตัวเอง ถามตัวเองเรื่อยๆ แต่พวกเราสงสัยไม่ได้ถามกระมัง ตั้งแต่เช้ามานี่ ระลึกถึงความตายบ้างหรือเปล่า? คงจะคิดหาแต่ความเป็นละมัง ความตายตั้งแต่เช้ามาจนถึงบัดนี้ คงจะไม่คิดสักที นี่มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นพระพุทธองค์ ท่านให้มีสติและให้พิจารณาให้ทันเวลา อย่าให้สายเกินไป ถ้าสายเกินไปแล้วมันจะหลง

เมืองไทยเราถ้ามีธรรมะมันจะอบอุ่นดี...อบอุ่นมาก ถ้าเป็นเมืองอื่นกับเมืองไทยเรามันต่างกัน เมืองไทยเราเลี้ยงลูกแล้วก็เลี้ยงหลาน แล้วก็เลี้ยงเหลน เมืองนอกเขาเลี้ยงแต่ลูกเท่านั้น มันพอคุ้มตัวเองได้เขาก็ปล่อยให้เป็นอิสระ แต่พวกเรา...ลูกไปอยู่ไหนก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยมาก แต่เขา (ฝรั่ง) ถ้าแก่แล้วก็อยู่ ๒ คนตายายเท่านั้น หรือกับแมว กับสุนัข ส่วนลูกจะไปไหนเขาไม่ห่วงได้ให้วิชาความรู้แล้ว แต่พวกเราวุ่นวายมาก ถ้ามองมาดูทางบ้านเราแล้วทุกข์มาก ต้องอยู่รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน แย่งกันกิน ทุกข์ตกนรกไม่หยุดสักที แต่เข้าเปลื้องความทุกข์ออก ลูกหญิงลูกชายพอบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาปล่อยให้เป็นอิสระเลย จะไปอยู่เมืองไหน รัฐไหน ก็ช่าง...เขาไม่ห่วง จะไปเป็นครูเป็นอะไรก็ตาม มีลูกมีผัวก็ตาม เลิก...คุณกับฉันเลิกกันเท่านั้นพอ ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินกัน พ่อแม่ก็แยกไปอยู่ต่างหากซะ...สบาย แต่พวกเราดมตั้งแต่ก้นจนถึงหัวไม่เลิกสักที (ดมลูก หลงลูก) ผลสุดท้ายมันทำเราให้น้ำตาตก แล้วมันก็หนีไป

ประเพณีของเราถ้ามีศีลธรรมมันจะอบอุ่นมาก แต่พวกเขา(ฝรั่ง) พอแก่มาก็เข้าโรงพยาบาล (สถานสงเคราะห์คนชรา) ไม่อบอุ่นแน่ถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าไปพูดศีลธรรมให้ฟังไม่ได้ เมืองนอกถ้าไปพูดเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เขาอยากจะลุกหนี คือเขาไม่อยากตาย เขาไม่อยากแก่ เขาไม่อยากเจ็บ เขาไม่อยากฟัง เขาอยากหนุ่มอยู่เรื่อยๆไป คนแก่เขาถ้าหนังเหี่ยวย่น เขาก็ไปผ่าตัดเย็บเข้าใหม่ให้ตึงขึ้นเหมือนหน้ากลองเพลเลยแหละ เย็บไปเย็บมาเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมไปอีก เอาสีแดงสีดำทาไว้แต่งไว้ยังกับเปรต ยิ่งร้ายกว่าเดิมอีก แต่งใหม่มันก็ไปไม่ไหวเพราะมันเป็นอย่างนี้ ถึงว่าพวกเราพอระลึกได้ก็ให้ระลึกถึงตัวเอง เกิดมามันก็ทุกข์ยากอย่างนี้แหละ เพราะมันไม่ใช่พระนิพพาน จะหาความสบายไม่มีหรอก ถ้ามันยุ่งมันยากก็ปล่อยก็วางมันซะ มันถึงจะได้ความสบาย "ช่างหัวมันเถอะ...ปล่อย" ว่าอย่างนี้มันจึงจะสบาย ถ้าจะไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนให้มันใหญ่ให้หมดอย่างนี้มันก็ไปไม่ไหวแล้ว โลกมันเป็นอย่างนี้. 

 

 

Source : http://www.watnongpahpong.org

 

Home | Links | Contact

Copy Right Issues © DhammaTalks.net