ทีฆนิกาย

ปาฏิกวรรค

๓๔ ทสุตตรสูตร

ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปประทับอยู่ ณ ฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา เขตนครจัมปา ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว ภิกษุพวกนั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

เราจักกล่าวธรรมอย่างสูงสิบหมวด สำหรับเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหมด เพื่อถึงพระนิพพาน เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งมีอุปการะมาก ธรรมอย่างหนึ่งควรให้เจริญ ธรรมอย่างหนึ่งควรกำหนดรู้ ธรรมอย่างหนึ่งควรละ ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ธรรมอย่างหนึ่งแทงตลอดได้ยาก ธรรมอย่างหนึ่งควรให้บังเกิดขึ้น ธรรมอย่างหนึ่งควรรู้ยิ่ง ธรรมอย่างหนึ่งควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่มีอุปการะมาก ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ กายคตาสติอันประกอบด้วยความสำราญ นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรให้เจริญ ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ ผัสสะที่ยังมีอาสวะมีอุปาทาน นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละเป็นไฉน คือ อัสมิมานะ นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละ ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน คือ การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นไปในส่วนข้างดี ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ เจโตสมาธิเป็นอนันตริก นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ ญาณที่ไม่กำเริบนี้ธรรม อย่างหนึ่งที่ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีอาหารเป็นที่ตั้ง นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้งสิบดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๒ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๒ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๒ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๒ อย่างควรละ ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ธรรม ๒ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๒ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๒ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๒ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ สติ ๑ สัมปชัญญะ ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสนา ๑ ธรรม ๒ อย่าง เหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑ ธรรม ๒ อย่าง เหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรละเป็นไฉน คือ อวิชชา ๑ ภวตัณหา ๑ ธรรม ๒ อย่าง เหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ ความเป็นผู้มีมิตรดี ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ สิ่งใดเป็นเหตุปัจจัยเพื่อ ความเศร้าหมองของเหล่าสัตว์ ๑ สิ่งใดเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ ญาณ ๒ ได้แก่ ญาณใน ความสิ้นไป ๑ ญาณในความไม่บังเกิดขึ้น ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ ธาตุ ๒ ได้แก่ สังขตธาตุ ๑ อสังขต ธาตุ ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ วิชชา ๑ วิมุตติ ๑ ธรรม ๒ เหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้งยี่สิบดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๓ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๓ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๓ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๓ อย่างควรละ ธรรม ๓ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อมธรรม ๓ อย่างเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ธรรม ๓ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๓ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๓ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๓ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ การคบหาสัตบุรุษ ๑ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑ การปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สมาธิ ๓ ได้แก่ สมาธิมีวิตกมีวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรละเป็นไฉน คือ ตัณหา ๓ ได้แก่ กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ อกุศลมูล ๓ ได้แก่ อกุศลมูลคือโลภะ ๑ อกุศลมูลคือโทสะ ๑ อกุศลมูลคือโมหะ ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๓ ที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน คือ กุศลมูล ๓ อย่าง ได้แก่ กุศลมูลคืออโลภะ ๑ กุศลมูลคืออโทสะ ๑ กุศลมูลคือ อโมหะ ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งความสลัดออก ๓ คือเนกขัมมะเป็นที่ถ่ายถอนกาม ๑ อรูปเป็นที่ถ่ายถอนรูป ๑ นิโรธเป็นที่ถ่ายถอนสิ่งที่เกิดแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ ญาณ ๓ ได้แก่อตีตังสญาณ ๑ อนาคตังสญาณ ๑ ปัจจุปันนังสญาณ ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ ธาตุ ๓ ได้แก่ กามธาตุ ๑ รูปธาตุ ๑ อรูปธาตุ ๑ ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๓ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ วิชชา ๓ ได้แก่ วิชชาคือความรู้ ระลึกถึงชาติหนหลังได้ ๑ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) วิชชาคือความรู้ในการจุติและอุปบัติของ สัตว์ทั้งหลาย ๑ (จุตูปปาตญาณ) วิชชาคือความรู้ในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ๑ (อาสวัก ขยญาณ)

ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้ง ๓๐ ดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาดไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๔ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๔ อย่างควรเจริญ ธรรม ๔ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๔ อย่างควรละ ธรรม ๔ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๔ อย่างเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ธรรม ๔ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๔ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๔ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๔ อย่างควรกระทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ จักร ๔ ได้แก่ การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ การคบสัตบุรุษ ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ ความเป็นผู้มีบุญกระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สติปัฏฐาน ๔ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสียได้ ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ อาหาร ๔ ได้แก่ กวฬิงการาหาร ที่หยาบหรือละเอียด ๑ ผัสสาหาร ๑ มโนสัญเจตนาหาร ๑ วิญาณาหาร ๑ ธรรม ๔ อย่าง เหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรละเป็นไฉน คือ โอฆะ ๔ ได้แก่ โอฆะคือกาม ๑ โอฆะ คือภพ ๑ โอฆะคือทิฐิ ๑ โอฆะคืออวิชชา ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ โยคะ ๔ ได้แก่ โยคะคือกาม โยคะคือภพ โยคะคือทิฐิ โยคะคืออวิชชา ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน คือ ความพราก ๔ ได้แก่ ความพรากจากกาม ๑ ความพรากจากภพ ๑ ความพรากจากทิฐิ ๑ ความพรากจากอวิชชา ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ สมาธิ ๔ ได้แก่ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างทรงอยู่ ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างแทงตลอด ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้รู้ได้ยาก ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ ญาณ ๔ ได้แก่ ญาณในธรรม ๑ ญาณในความคล้อยตาม ๑ ญาณในความกำหนด ๑ ญาณในสมมติ ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกขอริยสัจ ๑ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธคามีนีปฏิปทาอริยสัจ ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๔ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ สามัญผล ๔ ได้แก่ โสดาปัตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ควรกระทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้งสี่สิบดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ผิดพลาด อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๕ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๕ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๕ อย่างควรกำหนดให้รู้ ธรรม ๕ อย่างควรละ ธรรม ๕ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๕ อย่างเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ธรรม ๕ อย่างแทงตลอดได้ยากธรรม ๕ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๕ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๕ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร ๕ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธาเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม ๑ เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีทุกข์น้อย ประกอบด้วยไฟธาตุมีผลสม่ำเสมอ ไม่เย็นนักไม่ร้อนนัก พอปานกลาง ควรแก่การตั้งความเพียร ๑ เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายากระทำตนให้แจ้งตาม เป็นจริงในพระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญู ๑ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมมีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ๑ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา อันเห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ เป็นไปเพื่อความแทงตลอด อันจะให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สัมมาสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ ๕ ได้แก่ ปีติแผ่ไป ๑ สุขแผ่ไป ๑ การกำหนดใจผู้อื่นแผ่ไป ๑ แสงสว่างแผ่ไป ๑ นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่ อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรละเป็นไฉน คือ นิวรณ์ ๕ ได้แก่ กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาปาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ เจโตขีลธรรม ๕ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจไปไม่เลื่อมใสในพระศาสดา จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความเพียรไม่ขาดสาย เพื่อความตั้งมั่น ภิกษุใดย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมไป ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความ เพียรไม่ขาดสาย เพื่อความตั้งมั่น จิตของภิกษุใดย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความ ประกอบเนืองๆเพื่อความเพียรไม่ขาดสาย เพื่อความตั้งมั่น อันนี้เป็นเจโตขีลธรรมข้อที่หนึ่ง ฯ อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจไป ไม่เลื่อมใสในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … ในความศึกษา … ฯ อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้โกรธ มีใจไม่แช่มชื่น ขัดใจ มีใจกระด้าง ในเพื่อนพรหมจรรย์ ภิกษุใดเป็นผู้โกรธ มีใจไม่แช่มชื่น ขัดใจ มีใจกระด้าง ในเพื่อนพรหมจรรย์ จิตของภิกษุนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความเพียรไม่ขาดสาย เพื่อความตั้งมั่นจิตของภิกษุใดย่อมไม่น้อมไป เพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อความไม่ขาดสาย เพื่อความตั้งมั่น อันนี้เป็นเจโตขีลธรรมข้อที่ ๕ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน คือ อินทรีย์ ๕ ได้แก่ อินทรีย์คือศรัทธา ๑ อินทรีย์คือวิริยะ ๑ อินทรีย์คือสติ ๑ อินทรีย์คือสมาธิ ๑ อินทรีย์คือปัญญา ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งความถ่ายถอน ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ กระทำไว้ในใจซึ่งกามทั้งหลาย จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในกามทั้งหลาย แต่เมื่อเธอกระทำไว้ในใจ ซึ่งเนกขัมมะ จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่น้อมไปในเนกขัมมะ จิตของเธอดำเนินไป ดีแล้ว อบรมดีแล้ว ออกไปดีแล้วพ้นดีแล้ว พรากแล้วจากกามทั้งหลาย อาสวะเหล่าใด บังเกิดขึ้นเพราะกามเป็นปัจจัย มีความทุกข์และความเร่าร้อน เธอพ้นแล้วจากอาสวะเหล่านั้นไม่ต้องเสวยเวทนานั้น อันนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นที่ถ่ายถอนกามทั้งหลาย ฯ

อีกข้อหนึ่ง เมื่อภิกษุกระทำไว้ในใจซึ่งความพยาบาท จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในความพยาบาท แต่เมื่อเธอกระทำไว้ในใจซึ่งความไม่พยาบาท จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใสตั้งอยู่ น้อมไปในความไม่พยาบาทจิตของเธอดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ออกไปดีแล้ว พรากแล้วจากความพยาบาทอาสวะเหล่าใดบังเกิดขึ้น เพราะความพยาบาทเป็นปัจจัย มีความทุกข์และความเร่าร้อน เธอพ้นจากอาสวะเหล่านั้น ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น อันนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นที่ถ่ายถอนความพยาบาท ฯ

อีกข้อหนึ่ง เมื่อภิกษุกระทำไว้ในใจซึ่งความเบียดเบียน จิตย่อมไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในความเบียดเบียน แต่เมื่อเธอกระทำไว้ในใจซึ่งความไม่เบียดเบียน จิต ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ น้อมไปในความไม่เบียดเบียน จิตของเธอดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ออกไปดีแล้ว พ้นดีแล้วพรากแล้วจากความเบียดเบียน อาสวะเหล่าใดบังเกิดขึ้น เพราะความเบียดเบียนเป็นปัจจัย มีความทุกข์และความเร่าร้อน เธอพ้นแล้วจากอาสวะเหล่านั้น ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น อันนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นที่ถ่ายถอนความเบียดเบียน ฯ

อีกข้อหนึ่ง เมื่อภิกษุกระทำไว้ในใจซึ่งรูปทั้งหลาย จิตย่อมไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในรูปทั้งหลาย แต่เมื่อเธอกระทำไว้ในใจซึ่งอรูป จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ น้อมไปในอรูป จิตของเธอดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ออกไปดีแล้ว พ้นดีแล้ว พรากแล้วจากรูปทั้งหลาย อาสวะเหล่าใดบังเกิดขึ้น เพราะรูปเป็นปัจจัย มีความทุกข์และความเร่าร้อน เธอพ้นแล้วจากอาสวะเหล่านั้น ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น อันนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นที่ถ่ายถอนรูปทั้งหลาย ฯ

อีกข้อหนึ่ง เมื่อภิกษุกระทำไว้ในใจซึ่งกายของตน จิตย่อมไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในกายของตน แต่เมื่อเธอกระทำไว้ในใจซึ่งความดบกายของตน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ น้อมไปในความดับกายของตน จิตของเธอดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ออกไปดีแล้ว พ้นดีแล้วพรากแล้วจากกายของตน อาสวะเหล่าใดบังเกิดขึ้นเพราะกายของตนเป็นปัจจัย มีความทุกข์และความเร่าร้อน เธอพ้นแล้วจากอาสวะเหล่านั้น ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น อันนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นที่ถ่ายถอนกายของตน ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้รู้ได้ยาก ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ สัมมาสมาธิประกอบด้วย ญาณ ๕ ได้แก่ ญาณบังเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ๑ ญาณบังเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า สมาธินี้เป็นอริยะไม่มีอามิส ๑ ญาณบังเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า สมาธิ นี้อันบุรุษผู้ไม่ต่ำช้าเสพแล้ว ๑ ญาณบังเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า สมาธินี้สงบ ประณีต มีปฏิปัส สัทธิอันได้แล้ว ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น และมิใช่ข่มขี่ห้ามด้วยจิตเป็นสสังขาร ญาณบังเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า ก็เรานั้น มีสติ เข้าสมาธินี้ และมีสติ ออกจากสมาธินี้ ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ วิมุตตายตนะ ๕ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาหรือสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง แสดงธรรมแก่ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ ภิกษุย่อมรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึงในธรรมนั้นตามที่ท่านแสดง เมื่อเธอรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ กายสงบย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น นี้เป็นวิมุตตายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาหรือสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุเลย แต่ว่าภิกษุอื่นแสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร เธอย่อมรู้ อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึงในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุแสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร เมื่อเธอรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติกายย่อมสงบ กายสงบย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น นี้เป็นวิมุตตายตนะข้อที่สอง ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาหรือสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุเลย ภิกษุอื่นก็มิได้แสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร แต่ว่า กระทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดารเธอย่อมรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึงในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุกระทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร เมื่อเธอรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ กายสงบย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น นี้เป็นวิมุตตายตนะข้อที่สาม ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาหรือสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุเลย ภิกษุอื่นก็มิได้แสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร และมิได้ กระทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร แต่ว่าเธอตรึกตามตรองตาม เพ่งตาม ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาด้วยจิต เพ่งตามด้วยใจ เธอย่อมรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึงในธรรมนั้น ตามที่เธอตรึกตาม ตรองตาม ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาด้วยจิต เพ่งตามด้วยใจ เมื่อเธอรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ กายสงบย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น นี้เป็นวิมุตตายตนะข้อที่สี่ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาหรือสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุเลย ภิกษุอื่นก็มิได้แสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร และมิได้ กระทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร และเธอมิได้ตรึกตาม ตรองตาม ซึ่ง ธรรมที่ได้ฟังได้เรียนมาด้วยจิต มิได้เพ่งตามด้วยใจ แต่ว่าสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งที่ภิกษุนั้น เรียนดีแล้ว กระทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เธอย่อมรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึงในธรรมนั้น โดยประการที่สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งที่เธอเรียนดีแล้ว กระทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เมื่อเธอรู้อรรถทั่วถึง รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ กายสงบย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น นี้เป็นวิมุตตายตนะข้อที่ห้า ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ ธรรมขันธ์ ๕ ได้แก่ สีลขันธ์ ๑ สมาธิขันธ์ ๑ ปัญญาขันธ์ ๑ วิมุตติขันธ์ ๑ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ๑ ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ ควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรมทั้ง ๕๐ อย่างดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๖ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๖ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๖ อย่างควร กำหนดรู้ ธรรม ๖ อย่างควรละ ธรรม ๖ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อมธรรม ๖ อย่างเป็นไป ในส่วนข้างเจริญ ธรรม ๖ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๖ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๖ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๖ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน ได้แก่ สาราณียธรรม ๖ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เข้าไปตั้งกายกรรม ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม กระทำให้เป็นที่รัก ให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรม ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม … ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรม ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม … ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมแบ่งปันลาภ อันประกอบด้วย ธรรมได้มาโดยธรรม โดยที่สุด แม้มาตรว่าอาหารอันนับเนื่องในบาตร คือเฉลี่ยกันบริโภคกับเพื่อนพรหมจรรย์ ผู้มีศีลทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม … ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในศีลอันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาและ ทิฐิ ไม่แตะต้องแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิแม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม … ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีทิฐิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในทิฐิอันประเสริฐ นำออกจากทุกข์ นำผู้ปฏิบัติตามเพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบ แม้นี้ก็เป็นสาราณียธรรม กระทำให้เป็นที่รัก ให้เป็นที่เคารพเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ อนุสติฐานะ ๖ ได้แก่ ระลึกถึงคุณ พระพุทธเจ้า ๑ ระลึกถึงคุณพระธรรม ๑ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ ๑ ระลึกถึงศีล ๑ ระลึกถึงทาน ที่ตนบริจาค ๑ ระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา ๑ ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ อายตนะภายใน ๖ ได้แก่ อายตนะคือตา ๑ อายตนะคือหู ๑ อายตนะคือจมูก ๑ อายตนะคือลิ้น ๑ อายตนะคือกาย ๑ อายตนะคือใจ ๑ ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรละเป็นไฉน คือตัณหา ๖ หมู่ ได้แก่ ตัณหาในรูป ๑ ตัณหาในเสียง ๑ ตัณหาในกลิ่น ๑ ตัณหาในรส ๑ ตัณหาในโผฏฐัพพะ ๑ ตัณหาในธรรม ๑ ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน คือ ความไม่เคารพ ๖ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ไม่มีความเคารพ ไม่เชื่อฟังในพระศาสดา ๑ ใน พระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏิสันถาร ๑ ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญเป็นไฉน คือ ความเคารพ ๖ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีความเคารพเชื่อฟังในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในความปฏิสันถาร ๑ ธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งความสลัดออก คือ

๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ก็เมตตาเจโตวิมุตติเราให้เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นดุจที่ตั้ง คล่องแคล่ว แล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นพยาบาทยังครอบงำจิตของเราตั้งอยู่ ภิกษุนั้นพึงถูกว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติภิกษุให้เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นดุจที่ตั้ง คล่องแคล่วแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น พยาบาทจักครอบงำจิตของภิกษุนั้นตั้งอยู่ ดังนี้นั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะว่าเมตตาเจโตวิมุตตินี้ เป็นที่สลัดออกจากพยาบาท ฯ

๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ก็กรุณาเจโตวิมุตติอันเราให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้วและเมื่อเป็นเช่นนั้น วิหิงสายังครอบงำจิตของเราตั้งอยู่ ภิกษุนั้นพึงถูกกล่าวว่าอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่ พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่อกรุณาเจโตวิมุตติภิกษุให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น วิหิงสาจักครอบงำจิตของภิกษุนั้นตั้งอยู่ ดังนี้นั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะว่ากรุณาเจโตวิมุตตินี้ เป็นที่สลัดออกจากวิหิงสา ฯ

๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ก็มุทิตาเจโตวิมุตติ เราให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น อรติยังครอบงำจิตของเราตั้งอยู่ ภิกษุนั้นพึง ถูกว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ท่านผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่อมุทิตาเจโตวิมุตติภิกษุให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น อรติย่อมครอบงำจิตของภิกษุนั้นตั้งอยู่ดังนี้นั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะว่ามุทิตาเจโตวิมุตตินี้ เป็นที่สลัดออกจากอรติ ฯ

๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวกล่าวอย่างนี้ว่า ก็อุเบกขาเจโตวิมุตติเราให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นราคะย่อมครอบงำจิตของเราตั้งอยู่ ภิกษุ นั้นพึงถูกว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่ออุเบกขาเจโตวิมุตติภิกษุให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ราคะยังครอบงำจิตของภิกษุนั้นตั้งอยู่ ดังนี้นั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ผู้มีอายุทั้งหลายเพราะว่าอุเบกขาเจโตวิมุตตินี้ เป็นที่สลัดออกจากราคะ ฯ

๕. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้เราให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นวิญญาณของเราย่อมไปตามนิมิต ภิกษุนั้นพึงถูกว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าพูดอย่างนี้ ท่านผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่ พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่อเจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้ภิกษุให้เจริญแล้ว … ปรารภดีแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณของภิกษุนั้น จักไปตามนิมิต ดังนี้นั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะว่าเจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้นี้ เป็นที่สลัดออกจากนิมิตทั้งปวง ฯ

๖. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อการถือว่าเรามีอยู่ ดังนี้ ของเราหมดไปแล้ว เราก็มิได้พิจารณาเห็นว่าเรานี้มีอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัยยังครอบงำจิตของเราตั้งอยู่ ภิกษุนั้นพึงถูกว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าพูดอย่างนี้ ท่านผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คำที่ว่า เมื่อการยึดถือว่าเรามีอยู่ดังนี้หมดไปแล้ว และเมื่อเขามิได้พิจารณาเห็นว่าเรานี้มีอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัย จักครอบงำจิตของภิกษุนั้นตั้งอยู่ดังนี้นั้น มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะว่าความถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะนี้ เป็นที่สลัดออกจากลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัย ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองๆ ๖ อย่าง ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๑ ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๑ สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้วไม่ดีใจไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะ อยู่ ๑ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่๑ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๑ ธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน คือ อนุตตริยะ ๖ ได้แก่ทัสสนานุตตริยะ ๑ สวนานุตตริยะ ๑ ลาภานุตตริยะ ๑ สิกขานุตตริยะ ๑ ปริจริยานุตตริยะ ๑ อนุสสตานุตตริยะ ๑ ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๖ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน คือ อภิญญา ๖

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ๑

เธอย่อมรู้กำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะหรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิต ปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ๑

เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้างยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏกัปวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้นแม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ๑

เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ๑

เธอทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเทียวเข้าถึงอยู่ ๑

ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้ง ๖๐ ดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาดไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๗ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๗ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๗ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๗ อย่างควรละ ธรรม ๗ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๗ อย่างเป็น ไปในส่วนข้างเจริญ ธรรม ๗ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๗ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๗ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๗ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน ฯ ได้แก่ อริยทรัพย์ ๗ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะจาคะ ปัญญา ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน ฯ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัม โพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน ฯ ได้แก่ว วิญญาณฐิติ ๗ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

มีสัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกเปรตบางหมู่นี้วิญญาณฐิติข้อที่หนึ่ง ฯ

มีสัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพผู้นับเนื่องในพวกพรหม ซึ่งเกิดในภูมิปฐมฌาน นี้วิญญาณฐิติข้อที่สอง ฯ

มีสัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพเหล่าอาภัสสระ นี้วิญญาณฐิติข้อที่สาม ฯ

มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพเหล่าสุภกิณหะ นี้วิญญาณฐิติข้อที่สี่ ฯ

มีสัตว์พวกหนึ่ง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา นี้วิญญาณฐิติข้อที่ห้า ฯ

สัตว์เหล่าหนึ่ง เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้วิญญาณฐิติข้อที่หก ฯ

สัตว์เหล่าหนึ่ง เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไรเพราะล่วงวิญญา ณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้วิญญาณฐิติข้อที่เจ็ด ฯ

ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรละเป็นไฉน ฯ ได้แก่ อนุสัย ๗ คือ อนุสัยคือกามราคะ ปฏิฆะ ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน ฯ ได้แก่ อสัทธรรม ๗ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่มีสัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตัปปะ มีสุตะน้อย เกียจคร้าน หลงลืมสติมีปัญญาทราม ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญเป็นไฉน ฯ ได้แก่ สัทธรรม ๗ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีสัทธา มีหิริ มีโอตัปปะ มีสุตะมาก ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้มีปัญญา ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน ได้แก่ สัปปุริสธรรม ๗ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้จักตนรู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้บริษัท รู้จักเลือกบุคคล ธรรม ๗ อย่างนี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน ฯ ได้แก่ สัญญา ๗ คือ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน ฯ ได้แก่ นิเทสวัตถุ ๗ อย่าง ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีฉันทะ กล้าในการสมาทานสิกขา และไม่ปราศจากความรักในการสมาทานสิกขาต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าใน การพิจารณาธรรม และไม่ปราศจากความรักในการพิจารณาธรรมต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าในการกำจัด ความอยากและไม่ปราศจากความรักในการกำจัดความอยากต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าในการหลีกออก เร้นอยู่ และไม่ปราศจากความรักในการหลีกออกเร้นอยู่ต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าในการปรารภความ เพียร และไม่ปราศจากความรักในการปรารภความเพียรต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าในสติและปัญญา เครื่องรักษาตน และไม่ปราศจากความรักในสติและปัญญาเครื่องรักษาตนต่อไป ๑ มีฉันทะกล้าการแทงตลอดด้วยอำนาจความเห็น และไม่ปราศจากความรักในการแทงตลอดด้วยอำนาจความเห็นต่อไป ๑ ธรรม ๗ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน ฯ ได้แก่ กำลังของพระขีณาสพ ๗ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สังขารทั้งปวง อันภิกษุผู้ขีณาสพ ในพระธรรมวินัยนี้ เห็นดีแล้วโดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพเห็นดีแล้วซึ่งสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบตาม ความเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง อันภิกษุผู้ขีณาสพเห็นดีแล้วด้วย ปัญญาอันชอบตามเป็นจริง ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพเห็นดีแล้วซึ่งกามทั้งหลายอันเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง จิตของภิกษุผู้ขีณาสพ น้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก เงื้อมไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ สิ้นสุดแล้วจากอาสวัฏฐานิยธรรมโดยประการทั้งปวง ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพมีจิตน้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก เงื้อมไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ สิ้นสุดแล้วจากอาสวัฏฐานิยธรรมโดยประการทั้งปวงนี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้วซึ่งสติปัฏฐาน ๔ นี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง อินทรีย์ ๕ อันภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้วซึ่งอินทรีย์ ๕ นี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ซึ่งโพชฌงค์ ๗ นี้ เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง อริยมรรคมีองค์ ๘ อันภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ข้อที่ภิกษุผู้ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นกำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ที่ภิกษุผู้ขีณาสพอาศัยแล้ว ย่อมปฏิญญาความสิ้นอาสวะได้ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว

ธรรม ๗ อย่าง เหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรม ๗๐ ดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

จบภาณวารที่หนึ่ง ฯ

ธรรม ๘ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๘ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๘ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๘ อย่างควรละ ธรรม ๘ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๘ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเจริญ ธรรม ๘ อย่างแทงตลอดได้ยากธรรม ๘ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๘ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๘ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน ได้แก่ เหตุ ๘ ปัจจัย ๘ ย่อมเป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว เหตุและปัจจัย ๘ เป็นไฉน ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมอยู่อาศัยครู หรือสพรหมมจรรย์ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครูรูปใดรูปหนึ่ง เธอเข้าไปตั้งไว้ซึ่งหิริโอตตัปปะ ความรักและความเคารพอย่างแรงกล้าในท่านนั้น นี้เป็นเหตุข้อที่ ๑ เป็นปัจจัยข้อที่ ๑ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ก็ภิกษุนั้นอยู่อาศัยครูหรือสพรหมจรรย์ผู้ตั้งอยู่ในฐานะแห่งครูรูปใดรูปหนึ่ง เธอเข้าไปตั้งไว้ซึ่งหิริ โอตตัปปะ ความรักและความเคารพอย่างแรงกล้าในท่านนั้นแล้ว ย่อมเข้าไปหาท่านเสมอๆ สอบถามไต่ถามว่า ท่านผู้เจริญ ข้อนี้อย่างไร เนื้อความของข้อนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมจะเปิดเผยสิ่งที่ยังมิได้เปิดเผย กระทำให้ง่ายซึ่งสิ่งที่ยังมิได้กระทำให้ง่าย บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างแก่เธอ นี้เป็นเหตุข้อที่ ๒ เป็นปัจจัยข้อที่ ๒ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ภิกษุนั้นฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความหลีกออก ๒ ประการ ให้ถึงพร้อม คือ ความหลีกออกแห่งกาย ๑ ความหลีกออกแห่งจิต ๑ นี้เป็นเหตุข้อที่ ๓ เป็นปัจจัยข้อที่ ๓ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญา อันเป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ เห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เป็นเหตุข้อที่ ๔ เป็นปัจจัยข้อที่ ๔ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้มีสุตะมาก ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมไว้ซึ่งสุตะ ธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง เป็นสิ่งอันภิกษุนั้นสดับแล้วมาก ทรงไว้คล่องปาก ตามพิจารณาด้วยใจ แทงตลอดด้วยความเห็น นี้เป็นเหตุข้อที่ ๕ เป็นปัจจัยข้อที่ ๕ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญา อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมอยู่ เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม นี้เป็นเหตุข้อที่ ๖ เป็นปัจจัยข้อที่ ๖ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอันยอดเยี่ยม ระลึก ตามระลึก ถึงสิ่งที่ได้ทำ คำที่ได้พูดไว้แล้วแม้นานได้ นี้เป็นเหตุข้อที่ ๗ เป็นปัจจัย ข้อที่ ๗ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นความเกิดความดับในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้เวทนา ดังนี้ความเกิดแห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้ความเกิดแห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่งสัญญา ดังนี้สังขาร ดังนี้ความเกิดแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร ดังนี้วิญญาณ ดังนี้ความเกิดแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ นี้เป็นเหตุข้อที่ ๘ เป็นปัจจัยข้อที่ ๘ เป็นไปเพื่อความได้ปัญญา อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน ได้แก่ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน ได้แก่ โลกธรรม ๘ คือ ความได้ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ความได้ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรละเป็นไฉน ได้แก่ มิจฉัตตะ ๘ คือ ความเห็นผิด ความดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน ได้แก่ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้าน ๘ อย่าง คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

การงานเป็นสิ่งอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พึงกระทำ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า การงานจักเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ เมื่อเรากระทำการงานอยู่ ร่างกายจักเหน็ดเหนื่อย ช่างเถิดเราจะนอน เธอนอนเสียไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๑ ฯ

อีกข้อหนึ่ง การงานเป็นสิ่งอันภิกษุกระทำแล้ว เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้กระทำการงานแล้ว ก็เมื่อเรากระทำการงานอยู่ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๒ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุจะต้องเดินทาง เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจะต้องเดินทาง ก็เมื่อเราเดินทางไปอยู่ ร่างกายจักเหน็ดเหนื่อย ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๓ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเดินทางไปถึงแล้ว เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เดินทางมาถึงแล้ว ก็เมื่อเราเดินทางอยู่ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๔ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมองหรือประณีตพอแก่ความต้องการ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมอง หรือประณีตพอแก่ความต้องการ กายของเรานั้นเหน็ดเหนื่อยแล้ว ไม่ควรแก่การงาน ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๕ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมองหรือประณีต พอแก่ความต้องการแล้ว เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมอง หรือประณีตพอแก่ความต้องการแล้ว กายของเรานั้นหนัก เหมือนถั่วทองที่เขาหมักไว้ ไม่ควรแก่การงาน ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๖ ฯ

อีกข้อหนึ่ง อาพาธเล็กน้อยเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่าอาพาธเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ความสมควรเพื่อจะนอนมีอยู่ ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๗ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุหายอาพาธแล้ว หายจากความเป็นผู้อาพาธยังไม่นาน เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราหายอาพาธแล้ว หายจากความเป็นผู้อาพาธยังไม่นาน กายของเรานั้นยังมีกำลังน้อย ไม่ควรแก่การงาน ช่างเถิด เราจะนอน เธอนอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร … เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านข้อที่ ๘ ฯ ธรรม ๘ อย่างนี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญเป็นไฉน ได้แก่ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียร ๘ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

การงานเป็นสิ่งอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พึงกระทำ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า การงานจักเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ ก็เมื่อเรากระทำการงานอยู่ ความกระทำไว้ในใจซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มิใช่กระทำได้โดยง่าย ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรม ที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อธรรมให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๑ ฯ

อีกข้อหนึ่ง การงานย่อมเป็นสิ่งอันภิกษุกระทำเสร็จแล้ว เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้กระทำการงานเสร็จแล้ว ก็เรากระทำการงานอยู่ ไม่อาจกระทำไว้ในใจซึ่งคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๒ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุจะต้องเดินทาง เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจะต้องเดินทาง ก็เมื่อเราเดินทางไปอยู่ ความกระทำไว้ในใจ ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มิใช่กระทำได้โดยง่าย ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๓ ฯ

อีกข้อหนึ่ง หนทางที่ภิกษุเดินไปถึงแล้ว เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่าเราได้เดินทาง มาถึงแล้ว ก็เราเมื่อเดินทางไปอยู่ ไม่อาจกระทำไว้ในใจซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๔ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่ได้โภชนะอันเศร้าหมองหรือ ประณีตพอแก่ความต้องการ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมองหรือประณีตพอแก่ความต้องการ กายของเรานั่นเบา ควรแก่การงาน ช่างเถิด เราจักปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้ บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๕ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอัน เศร้าหมองหรือประณีตพอแก่ความต้องการ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะอันเศร้าหมองหรือประณีตพอแก่ความต้องการ กายของเรานั่นมีกำลัง ควรแก่การงาน ช่างเถิดเราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๖ ฯ

อีกข้อหนึ่ง อาพาธเล็กน้อยเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่าอาพาธเล็กน้อย เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ข้อที่อาพาธของเราจะพึงมากขึ้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยัง มิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๗ ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุหายอาพาธแล้ว หายจากความเป็นผู้อาพาธยังไม่นาน เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราหายอาพาธแล้ว หายจากความเป็นผู้อาพาธยังไม่นาน ข้อที่อาพาธของเราจะพึง กลับกำเริบขึ้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ช่างเถิด เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง เธอปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง นี้คือเหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียรข้อที่ ๘ ฯ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน ได้แก่ กาล ที่มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ อุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว แต่บุคคลนี้เป็นผู้เข้าถึงนรกเสีย นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว แต่บุคคลนี้เป็นผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว แต่บุคคลนี้เป็นผู้เข้าถึงปิตติวิสัยเสีย นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรง แสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว แต่บุคคลนี้เป็นผู้เข้าถึงเทพนิกายซึ่งมีอายุยืนอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว แต่บุคคลนี้เป็นผู้เกิดในปัจจันตชนบท อันเป็นถิ่นของชนมิลักขะผู้ไม่รู้ ความ ซึ่งมิใช่คติของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว ส่วนบุคคลนี้เป็นผู้เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดไปว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติโดยชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้รู้ ไม่มีในโลกนี้ นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๖ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว ส่วนบุคคลนี้เป็นผู้เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นคนมีปัญญาทราม โง่เขลา เป็นใบ้ ไม่สามารถจะรู้เนื้อความของถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตและทุพภาษิตได้ นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๗ ฯ

อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในโลก และพระองค์ยังไม่ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว ส่วนบุคคลนี้เป็นผู้เกิดในมัชฌิมชนบท และเขาเป็นคนมีปัญญา ไม่โง่เขลา ไม่เป็นใบ้ สามารถจะรู้เนื้อความของถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตและทุพภาษิตได้ นี้เป็นกาล มิใช่ขณะ มิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๘ ฯ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๘ อย่าง ที่ควรให้เกิดขึ้น เป็นไฉน ได้แก่ มหาปุริสวิตก ๘ คือ

ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่

ธรรมนี้ของผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษ

ธรรมนี้ของผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีในความคลุกคลี

ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้าน

ธรรมนี้ของผู้เข้าไปตั้งสติไว้ มิใช่ของผู้มีสติหลง

ธรรมนี้ของผู้มีจิตตั้งมั่น มิใช่ของผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น

ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทราม

ธรรมนี้ของผู้ไม่มีธรรมเป็นเครื่องหน่วงให้เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในธรรมไม่เป็นเครื่องหน่วงให้เนิ่นช้า มิใช่ของผู้มีธรรมเป็นเครื่องหน่วงให้เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีในธรรมเป็นเครื่องหน่วงให้เนิ่นช้า ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง เป็นไฉน ได้แก่ อภิภายตนะ ๘ คือ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก มีผิวพรรณดีและผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ ๑ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ มีผิวพรรณดีและผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็นอันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ ๒ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก มีผิวพรรณดีและผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็นอันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่ ๓ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ มีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณ ทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่ ๔ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว ดอกผักตบอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยงอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณเขียว เขียวล้วน มีรัศมีเขียว ฉันนั้นเหมือนกันครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ ๕ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลือง ล้วน มีรัศมีเหลือง ดอกกรรณิกาอันเหลือง มีวรรณเหลืองเหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองอันเกลี้ยง อันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองล้วน มีรัศมีเหลือง ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความ สำคัญว่าเรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ ๖ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง ดอกชะบาอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดงหรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยงอันแดง มีวรรณแดงแดงล้วน มีรัศมีแดง แม้ฉันใด ผู้หนึ่ง มีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มีวรรณแดง แดงล้วน มีรัศมีแดง ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะข้อที่ ๗ ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว ดาวประกายพฤกษ์อันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว หรือว่าผ้าที่กำเนิดในเมืองพาราณสี มีส่วนทั้งสองเกลี้ยงอันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มีวรรณขาว ขาวล้วน มีรัศมีขาว ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็น อภิภายตนะข้อที่ ๘ ฯ ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง เป็นไฉน ได้แก่ วิโมกข์ ๘ คือ

ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒

บุคคลย่อมน้อมใจไปว่าสิ่งนี้งามทีเดียว อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา บุคคลย่อมเข้าถึงซึ่งอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

เพราะล่วงซึ่งอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง บุคคลย่อมเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๕

เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง บุคคลย่อมเข้าถึงอากิญจัญญายตนะด้วย มนสิการว่า ไม่มีอะไรดังนี้อยู่ อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะ บุคคลย่อมเข้าถึงซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง บุคคลย่อมเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘ ฯ

ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ ธรรมทั้ง ๘๐ ดังพรรณามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๙ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๙ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๙ อย่างควรกำหนดรู้ ธรรม ๙ อย่างควรละ ธรรม ๙ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อมธรรม ๙ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเจริญ ธรรม ๙ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๙ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๙ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม ๙ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่มีอุปการะมาก เป็นไฉน ได้แก่ ธรรมอันมีมูลมา แต่โยนิโสมนสิการ ๙ คือ เมื่อกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ปราโมทย์ย่อมเกิด ปีติย่อมเกิดแก่ผู้ปราโมทย์ กายของผู้มีใจกอปรด้วยปิติย่อมสงบ ผู้มีกายสงบ ย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น ผู้มีจิตตั้งมั่น ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ผู้รู้เห็นตามเป็นจริง ตนเองย่อมหน่าย เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน ได้แก่ องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๙ คือ

ความหมดจดแห่งศีล ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งจิต ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งทิฐิ ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งญาณทัสนะ ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งปัญญา ชื่อว่าองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
ความหมดจดแห่งวิมุตติ ชื่อว่าเป็นองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน ได้แก่ สัตตาวาส ๙ คือ มีอยู่ ผู้มีอายุทั้งหลาย

สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกเปรตบางหมู่ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๑

สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพผู้อยู่ในจำพวกพรหมผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๒

สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกันมีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพเหล่าอาภัสสระ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๓

สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพเหล่าสุภกิณหะ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๔

สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่นพวกเทพเหล่าอสัญญีสัตว์ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๕

สัตว์พวกหนึ่งเข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๖

สัตว์พวกหนึ่งเข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วย มนสิการว่าวิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๗

สัตว์พวกหนึ่งเข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่าไม่มีอะไร เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๘

สัตว์พวกหนึ่งเข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะด้วยมนสิการว่า นี้สงบ นี้ประณีต เพราะล่วงชั้นอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๙

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรละเป็นไฉน ได้แก่ ธรรมอันมีมูลมาแต่ตัณหา ๙ คือ

ความแสวงหาย่อมเป็นไปเพราะอาศัยตัณหา
ความได้ย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความแสวงหา
ความตกลงใจย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความได้
ความกำหนัดด้วยสามารถแห่งความพอใจ ย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความตกลงใจ
ความกล้ำกลืนย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความกำหนัดด้วยสามารถแห่งความพอใจ
ความหวงแหนย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความกล้ำกลืน
ความตระหนี่ย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความหวงแหน
ความรักษาย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความตระหนี่
อกุศลธรรม อันลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือศัสตรา ความทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน กล่าวส่อเสียดว่า ท่านๆ และการพูดเท็จ ย่อมเป็นไปเพราะอาศัยความรักษาเป็นเหตุ

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน ได้แก่ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความอาฆาต ๙ คือ

บุคคลย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้จักประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่าผู้นี้จักประพฤติซึ่ง สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้ว ซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
ย่อมผูกความอาฆาตว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
ย่อมผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักประพฤติซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญเป็นไฉน ได้แก่ ความกำจัดความอาฆาต ๙ คือ

บุคคลย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรานั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรานั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้จักประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรานั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้จักประพฤติซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้นการที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน
ย่อมกำจัดความอาฆาตด้วยทำไว้ในใจว่า ผู้นี้จักประพฤติซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนี้แต่ที่ไหน

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน ได้แก่ ความต่างกัน ๙ คือ

ความต่างแห่งผัสสะ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งธาตุ
ความต่างแห่งเวทนา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งผัสสะ
ความต่างแห่งสัญญา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งเวทนา
ความต่างแห่งความดำริ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา
ความต่างแห่งความพอใจ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความดำริ
ความต่างแห่งความเร่าร้อน ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความพอใจ
ความต่างแห่งความแสวงหา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความเร่าร้อน
ความต่างแห่งความได้ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความแสวงหา

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน ได้แก่ สัญญา ๙ คือ

ความกำหนดหมายว่าไม่งาม
ความกำหนดหมายในความตาย
ความกำหนดหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
ความกำหนดหมายความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง
ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง
ความกำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์
ความกำหนดหมายในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน
ความกำหนดหมายในการละ
ความกำหนดหมายในวิราคธรรม

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน ได้แก่ อนุบุพพวิหาร ๙ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม

บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่

บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ อนึ่ง เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป

บรรลุตติยฌานที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข

บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

บรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่กระทำไว้ในใจ ซึ่งนานัตตสัญญาอยู่

บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่

บรรลุอากิญจัญญายตนฌานด้วยมนสิการว่าไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่

บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่

บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน ได้แก่ อนุบุพพนิโรธ ๙ คือ

เมื่อเข้าปฐมฌาน กามสัญญาดับ
เมื่อเข้าทุติยฌาน วิตกวิจารดับ
เมื่อเข้าตติยฌาน ปีติดับ
เมื่อเข้าจตุตถฌาน ลมอัสสาสปัสสาสะดับ
เมื่อเข้าอากาสานัญจายตนฌาน รูปสัญญาดับ
เมื่อเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนสัญญาดับ
เมื่อเข้าอากิญจัญญายตนฌาน วิญญาณัญจายตนสัญญาดับ
เมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนะดับ
เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับ

ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๙๐ ดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างมีอุปการะมาก ธรรม ๑๐ อย่างควรให้เจริญ ธรรม ๑๐ อย่าง ควรกำหนดรู้ ธรรม ๑๐ อย่างควรละ ธรรม ๑๐ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ธรรม ๑๐ อย่างเป็นไปในส่วนข้างเจริญ ธรรม ๑๐ อย่างแทงตลอดได้ยาก ธรรม ๑๐ อย่างควรให้บังเกิดขึ้น ธรรม ๑๐ อย่างควรรู้ยิ่ง ธรรม๑๐ อย่างควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน ได้แก่ ธรรมกระทำที่พึ่ง ๑๐ อย่าง คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีธรรมอันสดับแล้วมาก ทรงธรรมที่ได้สดับแล้วสั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เห็นปานนั้น อันเธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้ว คล่องปาก ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีธรรมอันสดับแล้วมาก ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว สั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เห็นปานนั้น อันเธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้ว คล่องปาก ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีเพื่อนดี มีสหายดี นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมที่กระทำให้เป็นผู้ว่าง่ายเป็นผู้อดทน เป็นผู้รับอนุศาสนีโดยเบื้องขวา ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วย ธรรมที่กระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทน เป็นผู้รับอนุศาสนีโดยเบื้องขวา นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา อันเป็นอุบายในกึกรณียะนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัด ในกึกรณียะกิจใหญ่น้อยของเพื่อน สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นคนขยันไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วย ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นอุบายในกึกรณียะนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดในกึกรณียะกิจใหญ่น้อยของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ใคร่ในธรรม เจรจาน่ารัก มีความปราโมทย์ยิ่งในอภิธรรม ในอภิวินัย ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ใคร่ในธรรม เจรจาน่ารัก มีความปราโมทย์ยิ่งใน อภิธรรม ในอภิวินัย นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ตามมีตามได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ตามมีตามได้ นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อจะยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อมอยู่ เป็นผู้มีเรี่ยวแรง มีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล ดุกร ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อจะยังกุศลธรรม ให้ถึงพร้อมอยู่ มีเรี่ยวแรง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยอดเยี่ยม แม้สิ่งที่ทำแล้วนานแม้คำที่พูดแล้วนาน ก็นึกได้ระลึกได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มีสติประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยอดเยี่ยม แม้สิ่งที่ทำแล้วนาน แม้คำที่พูดแล้วนาน ก็นึกได้ระลึกได้ นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาที่เห็น ความเกิดและความดับอันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุเป็น ผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับอันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้ก็เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน ได้แก่ แดนแห่งกสิณ ๑๐ คือ

ผู้หนึ่งย่อมจำปฐวีกสิณได้ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเบื้องขวาง ตามลำดับหาประมาณมิได้
ผู้หนึ่งย่อมจำอาโปกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำเตโชกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำวาโยกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำนีลกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำปีตกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำโลหิตกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อมจำโอทาตกสิณได้ …
ผู้หนึ่งย่อม จำอากาสกสิณได้
ผู้หนึ่งย่อมจำวิญญาณกสิณได้ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเบื้องขวาง ตามลำดับ หาประมาณมิได้

ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน ได้แก่ อายตนะ ๑๐ คือ นัยน์ตา รูป หู เสียง จมูก กลิ่น ลิ้น รส กาย โผฏฐัพพะ ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรละเป็นไฉน ได้แก่ มิจฉัตตะ ๑๐ คือ ความเห็นผิด ความดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด ความรู้ผิด ความพ้นผิด ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรละ ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน ได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของเขา ปองร้ายเขา เห็นผิด ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญเป็นไฉน ได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์ เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของเขา ไม่ปองร้ายเขา เห็นชอบ ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน ได้แก่ อริยวาส ๑๐ คือ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้วประกอบด้วยองค์ ๖ มีธรรม อย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา มีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้านมีสัจจะเฉพาะอย่างอันบรรเทาแล้ว มีความแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้วโดยชอบมีความดำริไม่ขุ่นมัว มีกายสังขารอันระงับแล้ว มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว มีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เป็นโทษอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ละได้แล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่าประกอบด้วยองค์ ๖ ภิกษุในพระศาสนานี้เห็นรูปด้วยนัยน์ตา … ฟังเสียงด้วยหู … ดมกลิ่นด้วยจมูก … ลิ้มรสด้วยลิ้น … ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย … รู้ธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว … ไม่ยินดียินร้าย เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าประกอบด้วยองค์ ๖ ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ประกอบแล้วด้วยใจมีสติเป็นเครื่องรักษา อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่งพิจารณาแล้วเว้นของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง อย่างนี้แลภิกษุชื่อว่ามีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีสัจจะเฉพาะอย่าง อันบรรเทาแล้ว สัจจะเฉพาะอย่าง เป็นอันมากของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก เป็นของอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้บรรเทาแล้ว บรรเทาดีแล้ว สละ คาย ปล่อย ละ สละคืนเสียหมดสิ้นแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีสัจจะเฉพาะอย่างอันบรรเทาแล้ว

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีความแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้วโดยชอบ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ละการแสวงหากาม ละการแสวงหาภพ ละการแสวงหาพรหมจรรย์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีความแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้วโดยชอบ ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีความดำริไม่ขุ่นมัว ความดำริในกาม ความดำริในความพยาบาท ความดำริในความเบียดเบียน เป็นโทษอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ละได้แล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีความดำริไม่ขุ่นมัว ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีกายสังขารอันระงับแล้ว ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ละสุขและดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีกายสังขารอันระงับแล้ว ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีจิตหลุดพ้นดีแล้ว จิตของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีจิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯ

ก็อย่างไร ภิกษุจึงจะชื่อว่ามีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ย่อมรู้ชัด ว่า ราคะ … โทสะ … โมหะอันเราละแล้ว มีรากอันเราถอนขึ้นแล้วกระทำให้เป็นดุจต้นตาล อันไม่มีที่ตั้ง กระทำไม่ให้มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีปัญญาอันหลุดพ้นดีแล้ว ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้แทงตลอดได้ยาก ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน ได้แก่ สัญญา ๑๐ คือ

ความกำหนดหมายว่าไม่งาม
ความกำหนดหมายในความตาย
ความกำหนดหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
ความกำหนดหมายความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง
ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง
ความกำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์
ความกำหนดหมายในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน
ความกำหนดหมายในการละ
ความกำหนดหมายในวิราคธรรม
ความกำหนดหมายในความดับ

ธรรม ๑๐ อย่าง เหล่านี้ควรให้บังเกิดขึ้น ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน ได้แก่ นิชชิณวัตถุ ๑๐ คือ

ความเห็นผิดอันบุคคลผู้เห็นชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย

ความดำริผิดอันบุคคลผู้ดำริชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความดำริผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความดำริชอบเป็นปัจจัย

การเจรจาผิดอันบุคคลผู้เจรจาชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะเจรจาผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะเจรจาชอบเป็นปัจจัย

การงานผิดอันบุคคลผู้ทำการงานชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะการงานผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะการงานชอบเป็นปัจจัย

การเลี้ยงชีพผิดอันบุคคลผู้เลี้ยงชีพชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะการเลี้ยงชีพผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะการเลี้ยงชีพชอบเป็นปัจจัย

ความพยายามผิดอันบุคคลผู้พยายามชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศล ธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความพยายามผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความพยายามชอบเป็นปัจจัย

ความระลึกผิดอันบุคคลผู้ระลึกชอบย่อมละได้อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความระลึกผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความระลึกชอบเป็นปัจจัย

ความตั้งใจผิดอันบุคคลผู้ตั้งใจชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึง ความเจริญบริบูรณ์ เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัย

ความรู้ผิดอันบุคคลผู้รู้ชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความรู้ผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความรู้ชอบเป็นปัจจัย

ความพ้นผิดอันบุคคลผู้พ้นชอบย่อมละได้ อนึ่ง อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิด เพราะความพ้นผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมเจริญบริบูรณ์ เพราะความพ้นชอบเป็นปัจจัย

ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน ได้แก่ อเสขธรรม ๑๐ คือ

ความเห็นชอบเป็นของพระอเสขะ
ความดำริชอบ …
เจรจาชอบ …
การงานชอบ …
เลี้ยงชีพชอบ …
พยายามชอบ …
ระลึกชอบ …
ตั้งใจชอบ …
ความรู้ชอบ …
ความพ้นชอบเป็นของพระอเสขะ

ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ

ธรรมร้อยหนึ่งดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวสูตรนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นดีใจ ชื่นชมภาษิตของ ท่านพระสารีบุตร ดังนี้แล ฯ

จบ ทสุตตรสูตร ที่ ๑๑

จบ ปาฏิกวรรค.

รวมพระสูตรในวรรคนี้ มี ๑๑ สูตร คือ
๑. ปาฏิกสูตร
๒. อุทุมพลิกสูตร
๓. จักกวัตติสูตร
๔. อัคคัญญสูตร
๕. สัมปสาทนียสูตร
๖. ปาสาทิกสูตร
๗. ลักขณสูตร
๘. สิงคาลกสูตร
๙. อาฏานาฏิยสูตร
๑๐. สังคีติสูตร
๑๑. ทสุตตรสูตร ฯ

ทีฆนิกายซึ่งประดับด้วยสูตร ๓๔ สูตร จบ ทีฆนิกายนี้มีพระสูตร ๓๔ สูตร จัดเป็น ๓ วรรค ชื่อว่าทีฆนิกาย เป็นนิกายต้น เป็นไปโดยสมควร ก็เพราะเหตุไรนิกายนี้จึงเรียกว่า ทีฆนิกาย เพราะเป็นที่รวมเป็นที่อยู่แห่งพระสูตรขนาดยาวๆ จึงเรียกว่า ทีฆนิกาย ดังนี้แล ฯ